พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เข้าสู่ระบบ
หน้าแรก
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ค้นหาข้อมูล
เข้าสู่ระบบ
ล.ป.ศรี มหาวีโร...
ล.ป.ศรี มหาวีโรพระเจ้าบุญล้นพระพุทโธอัปปมาโณ อุดมสิริสุขโตทวีป หลวงปู่ศรีมหาวีโร วัดป่ากุง อธิษฐานจิตมวลสาร ปี 2555 เนื้ออัลปาก้า
พระพุทโธอัปปมาโณ <พระเจ้าบุญล้น> อุดมสิริสุขโตทวีป หลวงปู่ศรีมหาวีโร วัดป่ากุง อธิษฐานจิตมวลสาร ปี 2555 เนื้ออัลปาก้ารายละเอียดพระพุทโธอัปมาโณ อุดมสิริสุขโตทวีป หลวงปู่ศรีมหาวีโร วัดป่ากุง อธิษฐานจิต ผสมชานหมาก ผงคำข้าว ผงว่าน108 ลพ.ฤาษีฯ วัดท่าซุง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุข้าวบิณฑ์ อัฐิธาตุ หลวงปู่ดู่
ทุกองค์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุข้าวบิณฑ์
ปางยืนทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก
อธิษฐานจิต โดย หลวงปู่ศรี มหาวีโร
นอกจากนี้ มีชนวนมวลสารหลายชนิด เช่น เกศาหลวงตาพระมหาบัวญาณสัมปันโน
ผงจิตรลดา น้ำสรงพระแก้วมรกต ผงชันเพชรจากเครื่องทรงพระแก้วมรกต ผงหลวงปู่โต๊ะ ผงหลวงปู่แหวน
ผงหลวงปู่อุตตมะ ผงเจ้าคุณนรฯ ผงงาช้าง ผงกะลาตาเดียว ผงเหล็กน้ำพี้หลวงปู่หมูน ผงหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ ผงแก้วโป่งข่าม ผงพระธาตุเขาสามร้อยยอดผงมหากัน ญาท่านสวน ผงคำข้าวหลวงพ่อฤาษี
แป้งเสกหลวงปู่บุดดา ยาอนันตคุณหลวงปู่ศรี ผงว่า108หลวงพ่อฤาษี
เกศาที่ผสมทำพระ มีดังนี้ หลวงตามหาบัว ท่านพ่อลี หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงปู่บุญฤทธิ์ หลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบ หลวงปู่สิม หลวงปู่ท่อน ฯลฯ มากมายเกือบ100รูป
ชานหมาก ของพระอริยสงฆ์มากมาย ชานหมากหลวงปู่ขาน ฐานวโร หลวงปู่ทอง จันทสิริ หลวงปู่อว้าน เขมโก หลวงปู่อุ่นหล้า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ฯลฯ
อัฐิธาตุ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงปู่เพียร ฯลฯ
ประวัติย่อ
พระเทพวิสุทธิมงคล
(หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง)
อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
“เมื่อมีเหตุ ผลก็ต้องมี เหตุน้อย ผลน้อย
เหตุพอประมาณ ผลพอประมาณ เหตุมาก ผลมาก เหตุพิเศษ ผลก็พิเศษ ”
ชีวิตฆราวาส
พระเทพวิสุทธิมงคล หรือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเกิดในตระกูล “ปักกะสีนัง” เกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ณ บ้านขามป้อม ตำบลขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เป็นบุตรคนที่ ๖ ของ นายอ่อนสี และ นางทุมจ้อย ปักกะสีนัง มีพี่น้องรวมกัน ๑๑ คน อาชีพทำนา ทำสวน ทำไร่
การศึกษา จบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนสารคามพิทยาคม ปี พ.ศ. ๒๔๘๐
อาชีพ รับราชการครู สอบบรรจุครูได้ และเริ่มรับราชการครูในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จากนั้นได้ลาออกจากการรับราชการครูในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้สอบบรรจุครูอีกครั้งที่จังหวัดร้อยเอ็ด อยู่รับราชการครูจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ จึงได้ขอลาออกจากราชการอีกครั้งเพื่อบรรพชาอุปสมบท
ชีวิตครอบครัว แต่งงานในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ กับนางสาวสอน แสนยะมูล อายุ ๒๒ ปี เป็นบุตรสาวของนายสุธรรมา และนางหล้า แสนยะมูล มีบุตรธิดาสืบสกุล ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓คน
คำสั่งของมารดาก่อนตาย หลวงปู่เล่าว่าก่อนที่แม่จะตาย ได้สั่งเสียเป็นเชิงอ้อนวอนรำพึงรำพันว่า “ศรีเอ้ย!แม่อยากให้ลูกบวชให้ จัก ๑๐มื้อ(วัน) ๑๕ มื้อก็ได้ พอให้แม่ได้เพิ่ง(พึ่ง)บุญเพิ่งคุณ จะได้ไปดี ไปสวรรค์ นำเพิ่น(ผู้อื่น)” เมื่อจบคำสั่งเสียของแม่แล้ว น้ำตาร่วง หัวใจเหมือนจะหลุดหล่นหาย ซึ้งในน้ำใจของท่านที่รักเรายิ่งนัก จึงรับปากแม่ว่าจะบำบวชให้แม่อย่างแน่นอนว่า “ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงดอกเด้อ ข้อยสิบวชให้แน่นอน ขอให้แม่เฮ็ด(ทำ) ใจให้ซำบาย(สบาย) ” อีกไม่กี่วันต่อมาแม่ก็สิ้นใจตาย ...
บรรพชาอุปสมบท
อุปสมบทที่ “วัดราษฎร์รังสรรค์”บ้านป่ายาง ตำบลขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เวลา ๐๙.๐๐ น. ได้ฉายาว่า “มหาวีโร” แปลความหมายว่า “ผู้มีความหาญกล้ามาก” หรืออีกนัยหนึ่ง “ ผู้สามารถบุกเข้าไปทำลายกิเลสได้ ” โดยมีพระโพธิญาณมุณี (คำ โพธิญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์ , พระครูศิริธรรมธาดา เจ้าคณะอำเภอเมืองร้อยเอ็ด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ , พระครูสมุห์พันธ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สิริอายุ ๒๙ ปี
พรรษาที่ ๑ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๘
จำพรรษาที่ สำนักสงฆ์ป่าพูนไพบูลย์ (ปัจจุบันคือ วัดประชาบำรุง) อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็เดินทางไปหาท่านพระอาจารย์คูณธมฺมุตฺตโมซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่ได้ธุดงค์จาริกมาพักอยู่ที่วัดป่าพูนไพบูลย์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ตามคำสั่งของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เพื่อเผยแพร่หลักธรรมและหลักปฏิบัติของพระคณะกรรมฐาน ได้ปฏิบัติธรรมอยู่จำพรรษาร่วมกับท่านพระอาจารย์คูณ ธมฺมุตฺตโม และได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านพระอาจารย์คูณอบรมสั่งสอน เอาธุระในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด คือ คันถธุระ การศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ ให้มีความรู้พระธรรมวินัย ดำรงรักษาตำราไว้มิให้เสื่อมสูญวิปัสสนาธุระ ได้แก่การศึกษาอบรมจิตใจตามหลักสมถะและวิปัสสนา เพื่อรู้แจ้งธรรมและกำจัดกิเลสออกจากจิตใจ
ในพรรษาแรกนี้ หลวงปู่ศรีท่านก็สามารถจดจำ พระวินัยบัญญัติและสวดปาฏิโมกข์ได้ เร่งทำความเพียรและภาวนา อดนอนผ่อนอาหาร เวลานั่งสมาธิก็นั่งอยู่ตลอดจนรุ่งเช้า โดยหลวงปู่ท่านใช้อุบายสอนใจตัวเอง เพื่อสู้กับทุกขเวทนาว่า “เรานั่งอยู่ในท้องแม่ แม่อุ้มท้องอยู่เป็นเวลา ๙เดือน ๑๐ เดือนไม่เห็นหนีไปไหนได้ ทำไมจึงอดทนอยู่ได้”ผลสุดท้ายจิตเกิดแสงสว่าง ทุกขเวทนาที่ว่าเผ็ดร้อนได้หายไปหมด ทำให้ท่านเกิดศรัทธาอย่างมาก การบวชที่แต่เดิมคิดว่าจะบวชเพียงชั่วคราวได้หายไปสิ้น
พอบวชครบพรรษา ด้วยเหตุว่ายังอยู่ใกล้บ้านเกิด ญาติๆมาเยี่ยมเยือนได้ง่าย ถูกรบเร้าให้สึกไปครองชีวิตฆราวาสอยู่บ่อยๆ จึงกราบลาพระอาจารย์คูณ ธมฺมุตฺตโม เที่ยวธุดงค์ผ่านป่าผ่านเขาต่างๆ ไปหาท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าแสนสำราญ จังหวัดอุบลราชธานี
พรรษาที่ ๒ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๙
จำพรรษาที่ วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
ท่านพระอาจารย์สิงห์ขนฺตฺยาคโม ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก เป็นเสมือนองค์แทนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ข้อกติกาสัมมาปฏิบัติ อันเป็นข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำหรับพระคณะ กรรมฐาน ท่านพระอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง ของพระภิกษุสามเณรผู้มุ่งมาบำเพ็ญในสำนักพระคณะกรรมฐาน คือ
ต้องเป็นผู้หวังพ้นจากทุกข์จริงๆ และหวังบำเพ็ญกิจในพระพุทธ ศาสนา จึงต้องสละความห่วงอาลัยในชีวิตฆราวาส เหย้าเรือน ตลอดจนสละชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อทรมานตนให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร
ต้องเป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน มีขันติธรรม อดทนต่อ ความทุกข์ความยากความลำบากตรากตรำ ไม่หวั่นต่อเหตุการณ์ต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเป็นผู้เห็นแก่พระศาสนาจริงๆ
ต้องเป็นผู้มีน้ำใจอันซื่อสัตย์ ต่อพระศาสนาและครูบาอาจารย์ตลอดถึงหมู่คณะ อ่อนน้อมถ่อมตน ให้หมู่คณะว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนได้ในธรรมวินัย เมื่อมาอยู่ในหมู่คณะนี้แล้ว จะหลีกหนีไปก็ไม่ลอบลักดักหนี ให้ร่ำลาครูบาอาจารย์ของตนก่อน เมื่อท่านอนุญาตแล้วจึงไป
ต้องเป็นผู้สนใจใคร่ธรรม ใคร่วินัย แสวงหาวิโมกขธรรม สันติสุขในพระพุทธศาสนา และหวังเชิดชูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
ได้อยู่กับท่านพระอาจารย์เพียงสามเดือน เพราะท่านพระอาจารย์กลับไปอยู่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ต่อจากนั้นหลวงปู่ศรีท่านเลยไปวิเวกอยู่บ้านค้อหวาง ซึ่งเป็นวัดของท่านเจ้าคุณอุบาลี
พรรษาที่ ๓ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๐
จำพรรษาที่ วัดป่านาแกน้อย ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
พอรู้จักแนวทางในการประพฤติปฏิบัติกรรมฐานแล้ว องค์หลวงปู่จึงออกวิเวกเข้าป่าเข้าดงข้ามป่าข้ามเขา เพื่อบำเพ็ญกรรมฐานมุ่งหวังทดสอบขันติธรรมไม่เหยียบย่ำอยู่กับที่ ออกปฏิบัติเพียงลำพัง เหมือนพระอริยสาวกทั้งหลายที่พ้นทุกข์ รอนแรมซอกซอนผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาภูพาน วนเวียนอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จากนั้นออกเดินทางต่อไปยัง “ถ้ำพระเวส”อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ด้วยเห็นว่า “ถ้าเราจะไปเฝ้ากราบนมัสการและไปประพฤติปฏิบัติกับ ท่านพระอาจารย์มั่น เราต้องทดสอบตัวเราเองก่อนว่าจะได้อะไรหรือไม่ได้อะไร” ไปอยู่ได้เพียงเดือนเศษ เกิดล้มป่วยและอาการก็หนักปางตายด้วยไข้มาเลเรีย เมื่อมันขึ้นแต่ละที ฉันยาอะไรก็ไม่หาย จึงใช้สมาธิรักษาจึงได้ผล ไข้มันสู้สมาธิไม่ได้ แต่มันก็ไม่ถอย สู้กันอยู่กับไข้อย่างนั้นเป็นเวลา ๑ ปี ๑๑ เดือน
เมื่อฤดูกาลเข้าพรรษาใกล้เข้ามา จึงลงจากถ้ำไปจำพรรษาอยู่ที่ “วัดบ้านนาแกน้อย” อำเภอนาแก จัดหวัดนครพนม โดยมีพระอาจารย์จันทร์(วัดหนองห่าง)เป็นหัวหน้าคณะ จนกระทั่งออกพรรษา จึงได้จาริกไปในเขตจังหวัดต่างๆ เช่น สกลนคร อุดรธานี เพื่อเดินตามรอยทางแห่งธรรมของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
พรรษาที่ ๔ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๑
จำพรรษาที่ เสนาสนะป่าช้า(วัดโนนนิเวศน์) อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
( สถานที่แห่งนี้ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้มาพักจำพรรษาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๓-๒๔๘๔ ) เมื่อออกพรรษาแล้วจึงได้ออกเที่ยวธุดงค์ จนปลายปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ ก็ได้ธุดงค์มายัง “ผาน้ำย้อย”หลวงปู่ศรี ท่านบอกว่า “ถิ่นนี้เป็นดงเสือ ใต้ถ้ำผาน้ำย้อยมีแต่ขี้เสือเต็มไปหมด บ้านโคกกลางมีเพียง ๑๕-๑๖ หลังคาเรือนไม่มีถนนต้องเดินเท้า ป่าภูเขาอยู่ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดก็มีแค่นี้หละ อยู่ที่อื่นก็ใช้ไม่ได้ ไม่ค่อยมีน้ำ” ที่ผาน้ำย้อยแห่งนี้หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เกิดมีอุบายธรรมมากมาย
พรรษาที่ ๕ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๒
จำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เล่าประวัติของท่านว่า “เราได้ท่องเที่ยวไปวิเวกตามผา ตามป่า ตามเขาหลายลูกหลายหน่วย คงพอตัวแล้ว” ต้นปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ จึงตัดสินใจเดินทางจากภูเขาเขียว ดงมะอี่ จังหวัดร้อยเอ็ด ไปยังอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อเข้าไปกราบนมัสการฝากตัวเป็นศิษย์ใต้ร่มธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
เมื่อแรกเข้าไปถึงวัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม
ท่านพระอาจารย์มั่นได้ถามว่า “เคยได้ไปอยู่ตามภูเขา ตามถ้ำ ตามป่าคนเดียวหรือยัง?” กราบเรียนตอบท่านว่า “เคยไปบ้างอยู่ครับ”
“เคยไปเที่ยวกรรมฐานที่ไหนบ้างหล่ะ”ท่านถาม “เคยไปอยู่ภูนี้บ้างถ้ำนี้บ้าง ก็เคยไปอยู่บ้างแล้วครับ” กราบเรียนตอบท่าน
“เอ้อ! ก็พอมีสติอยู่บ้างเน๊าะ!”ท่านพระอาจารย์มั่นพูดเสียงเน้นๆ กังวาน นัยน์ตาน่าเกรงขามเป็นที่ยิ่ง
ส่วนทางเรา(หลวงปู่ศรี)นั้นแอบคิดในใจว่า “นี่ขนาดเราได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่างกล้าหาญ นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมตลอดคืนยันรุ่ง ไปอยู่คนเดียวเสือร้อง เฮ้ยๆ โฮกๆ อยู่ข้างๆ ก็ทำอยู่อย่างนั้นมาแล้ว จนสุดแรงเกิด แทบล้ม แทบตาย” แต่ท่านก็ยังว่า “พอมีสติอยู่บ้างเน๊าะ ถ้าอยู่คนเดียวได้จะต้องเป็นผู้มีสติดีนะ”
แล้วท่านก็ให้โอวาทซ้ำท้ายว่า “ผู้ที่จะมาศึกษาธรรมกับเรา จะเป็นพระหรือโยมก็ตาม ขอให้เก็บหอกเก็บดาบเอาไว้ที่บ้าน ไม่ต้องนำติดตัวมาด้วย”ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ศรี จึงตั้งความเพียรให้หนักหน่วงกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ และได้ตั้งสัจจะอธิฐานไว้ว่า “จะเร่งความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน”
วัตรปฏิบัติต่อพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ในปีที่หลวงปู่ศรี มหาวีโรได้ไปอยู่ คือการจับเส้นถวายทุกวัน ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเวลา ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม หรือตี ๑ ตี ๒ ถ้าท่านไม่บอกเลิกก็ไม่ต้องเลิก อยู่กับหมู่คณะมีหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต พระอาจารย์วัน อุตฺตโม ฯ และมีหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นพระผู้ดูแลหมู่คณะในครั้งนั้น
พระอาจารย์มั่นท่านให้ไปอยู่คนเดียวที่ “ถ้ำคำไฮ” เร่งความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน มีบ้านเพียง ๔ หลังพอได้บิณฑบาต ฉันแล้วล้างบาตรเสร็จแล้วก็เดินจงกรมจนหมดแสงตะวันถึงเลิก เป็นช่วงเดือน ๕ อากาศและแดดจะร้อนมาก กลางคืนก็มานั่งภาวนาทั้งคืนจนถึงเช้า หลวงปู่ศรีท่านเล่าให้ฟังว่า “เราไปอยู่คนเดียว ไปถ้ำคำไฮเดือนหนึ่ง แต่ว่าเป็นไข้นะ ฉันจังหันไม่ได้ ไปบิณฑบาตก็มองไม่เห็นทาง มันวิงเวียน แต่ว่าก็นอนบ้าง เวลานอนมันก็ไม่ยอมนอนนะ นอนอยู่ผู้เดียว นอนกลางวันก็ตาม กลางคืนก็ตาม ผีมันก็เอาหัวแม่มือมาจับหัวแม่ตีนนี่ล่ะ กำแน่นๆแล้วก็กระตุกเลย ต้องบอกผีว่า “เอ้า! ให้นอนสักหน่อยก่อนนะ ให้นอนสักหน่อยก่อน มันกำลังเมื่อย” พอนอนเท่านั้น มันก็มากระตุกอยู่อีกอย่างนั้น หนักเข้าก็ไปเดินจงกรมอีก แต่ไม่กลัวนะ ไม่มีอะไรนะ มีแต่ฟากไม้ไผ่กว้างๆขนาดห้องนี้หละ กลางวันมันก็มาดึง คิดในใจว่า “เอ๋! พวกเจ้าให้ข้าภาวนาดีแท้น้อ”
เดือน ๕ ท่านพระอาจารย์มั่นก็เริ่มป่วย จนกระทั่งเดือนอ้าย อาการของท่านพระอาจารย์มั่นก็หนักขึ้นเรื่อยๆ และวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. ท่านพระอาจารย์มั่นก็ดับขันธวิบากเข้าสูอนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร
พรรษาที่ ๖ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓
จำพรรษาที่ วัดป่าหนองผักตบ ตำบลปลาไหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร (ปัจจุบันวัดป่าโนนตูม)
หลวงปู่ศรีท่านธุดงค์ผ่านจากเทือกเขาภูพาน ออกเที่ยวปลีกวิเวกภาวนาไปทางอำเภอกุดบาก มุ่งหน้าไปทางอำเภอวาริชภูมิ บ้านหนองผักตบ ทราบข่าวว่าสถานที่แห่งนี้มีครูบาอาจารย์ศิษย์สายท่านพระอาจารย์มั่นมาเที่ยวจำพรรษา และผ่านมาพักจำพรรษาอยู่เสมอ จึงเข้าจำพรรษาที่หนองผักตบ มีพระจำพรรษา ๕ รูป ในพรรษานั้นหลวงปู่ศรีท่านป่วยด้วยโรคเหน็บชาอย่างรุนแรง เท้าทั้งสองข้างแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ใช้มือหยิกเนื้อขา เนื้อขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลย หาหยูกยาอะไรก็ไม่มี หลวงปู่ศรีจึงคิดได้ว่า “เอายาที่ไหนมารักษามันก็คงไม่หาย เอายาที่เราหาอยู่ทุกวัน นั้นก็คือธรรมโอสถ”จากนั้นจึงตั้งสัจจะนั่งสมาธิ จะนั่งสมาธิรักษา จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ตาม ถ้าโรคไม่หายจะไม่ออกจากสมาธิ ถึงแม้ตายก็ตาม ก็ขอตายในท่านั่งสมาธิ น้ำไม่ดื่ม ข้าวไม่ฉัน ตั้งใจพิจารณาสังขารเพียงอย่างเดียว ทำสมาธิอย่างเดียวเท่านั้น ปฏิบัติแบบสละตายไม่อาลัยชีวิต เวลาผ่านไป ๓ วัน ในคืนที่ ๓ โรคร้ายได้หายขาด จึงได้ออกจากสมาธิ
พรรษาที่ ๗ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔
จำพรรษาที่ เสนาสนะป่าห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม
ปลายปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ - ๒๔๙๔ ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ธุดงค์ท่องเที่ยวกรรมฐานไปทางบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และได้จำพรรษาอยู่ ๑ พรรษา ท่านพระอาจารย์มหาบัวเป็นที่พึ่งอันมั่นคงของพระเณร เหมือนอย่างที่ท่านพระอาจารย์มั่น สั่งไว้ก่อนปีที่ท่านจะนิพพานว่า “เมื่อเราตายให้หมู่เพื่อนพึ่งมหาบัว”
ข้อปฏิบัติที่ท่านถือเคร่งในยุคนั้น คือ ปฏิบัติอย่างหยาบๆ ห้ามนอนก่อน ๔ ทุ่ม ถ้าใครนอนก่อน ๔ ทุ่ม ต้องตื่นขึ้นมาทำความเพียรก่อนตี ๔ ถ้าผิดจากนี้ ได้ตักเตือนถึง ๓ ครั้ง ถ้าทำไม่ได้ท่านพระอาจารย์มหาบัวจะไล่หนีจากวัดทันที ท่านตีและเข่นพระเณรให้พากเพียรเป็นอย่างมาก วันคืนที่ผ่านไปล้วนแต่ประกอบจิตภาวนาในอิริยาบถทั้ง ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน ประกอบความเพียรด้วยสติปัญญาตลอด
บางปี พระเณรป่วยเป็นไข้มาเลเรียเกือบทั้งวัด คงเหลือแต่ท่านอาจารย์มหาบัวกับพระอีกไม่กี่รูป ท่านอาจารย์มหาบัวก็เป็นผู้ปัดกวาดลานวัดเอง ตักน้ำ ขัดถูศาลาเอง หลวงปู่ศรีท่านอยู่ที่ห้วยทรายก็ป่วยเป็นไข้มาเลเรียอย่างหนัก และแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ถึงกับผมร่วง เป็นเวลา ๒๒ เดือน หลวงปู่ศรีท่านจึงคิดว่า “ทำยังไงถึงจะหายไข้” จึงถามสามเณรว่า “เณรน้อย อะไรหนอ มันผิดไข้มาเลเรีย(เป็นของแสลงกัน)”สามเณรจึงตอบว่า“มะพร้าวครับ” เหมือนดั่งผีหรือเทวดาฟ้าดินกลั่นแกล้ง วันหนึ่งชาวบ้านได้นำมะพร้าวมาถวายพระที่วัด แบ่งกันได้องค์ละ ๒ ลูก หลวงปู่ศรีท่านคิดว่า “วันนี้ละจะได้รู้กัน เราเป็นไข้ป่ามันทรมานมานานวัน ถ้าฉันมะพร้าวแล้วจะผิดสำแดงเราจะฉันเพื่อให้ผิดสำแดง” มะพร้าวทั้ง ๒ ลูกนั้นหลวงปู่ศรีท่านฉันจนหมดเกลี้ยง พอฉันเข้าไปเท่านั้นแหละ ท่านก็หน้ามืดอย่างแรง ตัวสั่นเทิ้ม ชักกระตุกล้มลงทันที สลบไสลไปเป็นเวลา ๓ วันสามคืน หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร(ท่านเป็นหมอยาสมุนไพรเก่า) เห็นอาการหลวงปู่ศรีท่านน่าเป็นห่วง หลวงปู่มหาบุญมีท่านจึงเอาช้อนงัดปากให้อ้าขึ้น แล้วกรอกยาลงไป ไข้มาเลเรียไม่นานก็หายขาดอย่างเหลือเชื่อ
ต่อจากนั้นหลวงปู่ศรีท่านก็ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมทั้งวันทั้งคืน ท่านได้ตั้งสัจจะไว้ว่า “ถ้านกแซงแซวยังไม่ร้องก็จะไม่ลุกจากอาสนะ และไม่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ห้ามมิให้เปลี่ยนโดยเด็ดขาด นั่งอยู่ท่าใดก็ให้นั่งท่านั้น” หลวงปู่ศรีท่านปฏิบัติอย่างเข้มงวดอยู่ตลอด ๒๒ คืน คือจากตะวันตกดินจนรุ่งอรุณเป็นวันใหม่ ในด้านอุบายธรรมต่างๆ พระอาจารย์มาหาบัวท่านเป็นผู้แนะนำพร่ำสอน หลังจากออกพรรษา ออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า“ดงมะอี่” พร้อมพระอีก ๒ - ๓ รูป ผ่านเทือกเขาเตี้ยๆสลับซับซ้อนเป็นเขตแดนรอยต่อ ๓ จังหวัด ระหว่างจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า “เขาผาน้ำย้อย”อยู่เป็นเวลานานพอสมควรจึงแยกทางกัน ส่วนหลวงปู่ได้เดินทางไปกราบคารวะหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ด และได้อุปัฏฐากท่าน
พรรษาที่ ๘ ปีพุทธศักราช ๒๕๙๕
จำพรรษาที่ วัดป่าหนองแซง ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
ขณะที่หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับหลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้พำนักอยู่ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ดได้ระยะหนึ่ง ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล ) วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ปรารถนาจะสร้าง วัดกรรมฐาน ที่บ้านหนองแซง จังหวัดอุดรธานี จึงได้มานิมนต์หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับหลวงปู่ศรี มหาวีโร เมื่อท่านทั้งสองรับนิมนต์แล้ว จึงพาคณะธุดงค์จาริกจากวัดป่าศรีไพวัลย์ ผ่านดงมูล ผ่านมาทางท่าคันโฑ มุ่งสู่เมืองกุมภวาปี เข้าสู่ตัวจังหวัดอุดรธานี เข้ากราบนมัสการท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก่อนแล้วจึง เดินทางไปยังป่าบ้านหนองแซง เพื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดป่า หนองแซง สมัยนั้นจะเป็นกุฏิเล็กๆห้องเดียว มีพระเณรอยู่ประมาณ ๔-๕ รูป มีหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เป็นหัวหน้า หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงปู่พุทธา หลวงปู่แสง และสามเณรสมร ที่นี่เองหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณได้กล่าวทำนายไว้ว่า “ท่านศรีหนีจากร้อยเอ็ดบ่ได้ดอก ต้องอยู่ที่ร้อยเอ็ดจนตาย”
พรรษาที่ ๙ - ๑๑ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ - ๒๔๙๘
จำพรรษาที่วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุงเก่า) บ้านศรีสมเด็จ ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
ปฐมเหตุแห่งวัดป่ากุง... ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ หลวงปู่ศรีท่านได้เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ดไปอำเภอวาปีปทุมซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดมหาสารคาม เจตนาอย่างหนึ่งของหลวงปู่ศรีที่เดินธุดงค์มายังแผ่นดินเกิดก็เพื่อ เยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกับพระหลวงพ่ออ่อนศรี กิจฺจญาโณ ซึ่งเป็นบิดา เพื่อสนองคุณบิดาด้วยอรรถและธรรม ณ วัดป่าบ้านขามป้อม หลวงปู่ศรีท่านจึงปักกลดพักอยู่ที่วัดป่าขามป้อม กับพระหลวงพ่ออ่อนศรี กิจฺจญาโณ หลังจากนั้นจึงดำริเดินธุดงค์กลับร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม เพื่อกราบคารวะพระธาตุพนม
ในขณะที่ท่านเที่ยววิเวกผ่านมาทางบ้านหนองแดง จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ปักกลดพักในบริเวณป่า เมื่อชาวบ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงทราบข่าว จึงได้นิมนต์หลวงปู่ให้พักที่ป่ากุงร้าง อันเป็นที่วัดร้างเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๑๓ หลวงปู่รับนิมนต์และได้อยู่จำพรรษา จึงทำให้ไม่ได้ธุดงค์ต่อตามที่ได้ดำริไว้ พ่อใหญ่ชาลี มงคลสีลา คนบ้านป่ากุง ได้ถวายที่ดินเพิ่มให้แก่วัดจำนวน ๑๐๐ ไร่ จากเดิมมีเนื้อที่เพียง๔-๕ ไร่
ปลายปี ๒๔๙๘ ท่านได้ออกเที่ยวธุดงค์ไปที่ ภูมะค่า เขารางตะเข้ เขาจอมทอง อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เมื่อท่านเดินทางไปถึงเขาจอมทอง ชาวบ้านต่างเตือนว่าไม่อยากให้ท่านขึ้นไปอยู่ถ้ำบนเขา เพราะว่ามีพระขึ้นไปตายมาหลายรูปแล้ว ถึงไม่ตายก็ไม่วายเป็นบ้าลงมา หลวงปู่ศรีท่านเล่าว่า ที่เขาจอมทองนี้เคยมีพระอรหันต์มามรณะภาพอยู่ถึง ๔ องค์ สถานที่แห่งนี้ใครได้มาอยู่มาปฏิบัติ ถ้าตั้งใจดีมีโอกาสที่จะเห็นธรรม ในถ้ำนั้นมีเจ้าที่เป็นงูใหญ่ ทุกๆ ๓ ปีงูตัวนี้จะออกจากถ้ำทีหนึ่งเพื่อมาเล่นน้ำ เวลาเล่นน้ำมันจะเอาหางพันต้นไม้แล้วเอาหัวหย่อนลงในน้ำ หลังจากท่านพักอยู่ที่เขาจอมทองเป็นเวลาพอสมควร ท่านจึงเดินธุดงค์กลับวัดป่ากุง
พรรษาที่ ๑๒ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๙
จำพรรษาที่ วัดป่ามหาวีระอุทการาม(วัดหนองใต้) ตำบลขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
เมื่อต้องเดินทางไปยังอำเภอวาปีปทุม จัดหวัดมหาสารคาม เพื่อสนองคุณบิดาด้วยอรรถและธรรม ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเดินทางอยู่บ้าง อีกทั้งท่านเองก็ต้องการหลีกจากผู้คนที่ศรัทธา ที่มาจากจังหวัดร้อยเอ็ด ที่นานวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที ไม่เป็นการสะดวกในการปฏิบัติภาวนา ท่านทราบว่าที่บ้านหนองใต้มีป่าพอเป็นที่อาศัยปฏิบัติสมณะธรรม จึงได้ไปยังป่าที่บ้านหนองใต้ อาศัยปฏิบัติสมณะธรรมและได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าหนองใต้ ๑ พรรษา คณะศรัทธาและหลวงปู่ได้ตั้งวัดขึ้นครั้งแรกในที่ แห่งนี้ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่
พรรษาที่ ๑๓ - ๑๗ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ - ๒๕๐๔
จำพรรษาที่ วัดสามัคคีธรรม บ้านขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ออกเที่ยวธุดงค์กรรมฐานจากจังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม เข้ากราบพระธาตุพนม แล้วออกเที่ยววิเวกผ่านมาพักอยู่ที่บ้านนาโดน กำนันพรหมา รังษี ชาวบ้านขามเฒ่าได้ทราบข่าวของหลวงปู่ศรี มหาวีโร จึงได้รีบมานิมนต์หลวงปู่ศรีมาโปรดชาวบ้านขามเฒ่า พร้อมทั้งกำนันพรหมา รังษี ได้มอบเสนาสนะป่าอยู่ติดกับป่าช้า เนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ ซึ่งกำนันพรหมาได้จับจองไว้สร้างเป็นวัด และปวารณาเป็นอุบาสกอุปัฏฐากหลวงปู่ศรี มหาวีโร ตลอดชีวิต แม้ตายสมบัติทั้งหมดก็ยกถวายให้หลวงปู่ศรีทั้งหมด ในที่นี้หลวงปู่ศรีได้สร้างศาลาใหญ่ให้เป็นศาลาปฏิบัติธรรม และบอกชาวบ้านช่วยกันปลูกขยายป่าเพิ่มเติม
ในฤดูแล้งปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จากเสนาสนะป่าช้าบ้านขามเฒ่า จังหวัดนครพนม มายังวัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด มีหลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นหัวหน้า พระอาจารย์อินทร์ พระอาจารย์เสาร์ สามเณรอุดร ประจักโกศรี และผ้าขาวกอง เป็นคณะติดตาม ออกเดินทางมาบ้านคำพอก ผ่านไปทางอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร เดินผ่านทางบ้านด่านสาวดอย เข้าวัดบ้านน้ำกล่ำธาตุพนม ผ่านไปยังภูเขาหลังภูพาน มาจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้ามป่าข้ามเขามาถึงเขื่อนลำปาว เข้าพักบ้านผักกาดหย่า จังหวัดกาฬสินธุ์ จากนั้นก็ไปบ้านนาขาม ดงแม่เผด เข้าเขตอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ธุดงค์ผ่านบ้านคำผอุง ออกไปอำเภอกมลาไสย มาข้ามแม่น้ำชีที่กมลาไสย ไปเมยวดี แล้วถึงมาวัดป่ากุง
พรรษาที่ ๑๘ - ๑๙ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ - ๒๕๐๖
จำพรรษาที่ วัดป่าศรีสมพร(หัวดง) บ้านน้อยหนองเค็ม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
เมื่อออกพรรษาปี ๒๕๐๖ ที่วัดป่าศรีสมพร(หัวดง)แล้ว หลวงปู่ศรีท่านได้ดำริว่า “เราปรารถนาจะปลีกวิเวกตามสมณวิสัย เพื่อห่างไกลผู้คนและญาติโยม เนื่องจากได้สร้างวัดวาอารามหลายที่หลายแห่ง เป็นภาระหนักอยู่ไม่สร่าง จนกระทั่งจิตเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ใจที่เคยมีความสุขอันเลิศเลอ เคยกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยธรรมอันเบ่งบานข้างใน มาบัดนี้ได้เกิดความเสื่อมถอย คุณภาพจิตได้รับความทุกข์อยู่เต็มหัวใจเหมือนคนมีสมบัติเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วสมบัตินั้นก็พลันมาฉิบหายมลายไปต่อหน้าต่อตา กลายเป็นยากจกทุคตะเข็ญใจในทันใด บุคคลนั้นจะตั้งตัวรับและยืนหยัดได้อย่างไร ยิ่งธรรมสมบัติคือ สมาธิที่เคยได้ลิ้มรสอันเลิศค่าด้วยแล้ว มาบัดนี้เสื่อมถอยไปต่อหน้าต่อตา เสื่อมเพราะความไม่ถนอมรักษา ตายใจว่านี้เป็นธรรมสมบัติอันจีรังมั่นคง จะสร้างความสุขให้เราได้ตลอดอนันตกาล แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะจิตในขั้นนี้ ยังมิใช่วิมุตติจิต ถึงแม้ว่าจะเร่งปฏิบัติสมาธิภาวนาสักเท่าใดเพื่อให้สมาธิธรรมนั้นกลับคืนมา ก็หาได้อย่างเดิมไม่ จิตเคยคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนพญาเสือโคร่งตัวฉลาด ที่ล่าเหยื่อคือกิเลสได้ทันท่วงที มาบัดนี้เหมือนแมวเชื่องตัวน้อยๆ” จึงออกเดินธุดงค์ออกจากนครพนมมุ่งหน้าไปยังอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร พักที่ถ้ำตางด ถ้ำพระ ถ้ำพระเวส เดินทางต่อจากอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร จนถึงวัดป่าหนองแซง หนองวัวซอ อุดรธานี สถานที่อยู่ของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เพื่อให้หลวงปู่บัวท่านแก้จิตเสื่อมให้ หลวงปู่บัวเป็นพระที่หลวงปู่ศรีท่านให้ความเคารพยิ่ง
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณท่านให้อุบายธรรมต่างๆ หลวงปู่ศรีท่านจึงนำไปปฏิบัติแบบไม่ไยดีในชีวิต ทุ่มเทกำลังสติปัญญาที่มีทั้งหมด ใช้ความเพียรกล้าที่สุด ตอนท้ายหลวงปู่บัวได้ให้อุบายธรรมแก่หลวงปู่ศรี ให้ท่าน นั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด ถ้าจะเดินจงกรม ก็เดินเพื่อพักผ่อนอิริยาบถก็เพียงพอ เมื่อรับฟังโอวาทจากหลวงปู่บัวแล้ว หลวงปู่ศรีท่านจึงตั้งสัจจะว่า “ถ้าจิตยังไม่บรรลุธรรมที่พึงประสงค์จะไม่ยอมลุกไปจากที่ เราจะยอมตายถวายชีวิตด้วยสัจจะบารมี”
หลวงปู่ศรีท่านปฏิบัติคล้ายที่เคยทำมา แต่หนักหน่วงกว่าเดิม โดยนั่งสมาธิอยู่ ๕ วัน ๖ คืน ครบ ๑๒ ชั่วโมงจึงเปลี่ยนอิริยาบถครั้งหนึ่ง คือขยับยกขาขึ้นแล้วเอาลงเท่านั้น มีกาเล็กๆใส่น้ำเอาไว้จิบพอชุ่มคอ เรื่องกลางวันกลางคืน เรื่องหลับนอนไม่ได้สนใจ อาศัยขันติคือความอดทน นั่งพิจารณาคลี่คลายสังขารส่วนต่างๆ จะตายก็ยอมตาย ไม่เสียดายอาลัยในชีวิตซึ่งเป็นสิ่งสมมุติ ในที่สุดมายุติตรงที่ว่าอวิชชาดับ เกิดญาณหยั่งทราบแน่ชัด จิตหมดการก่อกำเนิดในภพต่างๆอย่างประจักษ์ใจ โลกธาตุหวั่นไหว ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ต่างอันต่างเป็นอิสระ อินทรีย์ ๕ อายตนะ ๖ ทำงานตามหน้าที่ของตน ไม่กระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์เหมือนดังแต่ก่อน ดับทุกข์ที่เผาลนจิตใจมาช้านานโดยประการทั้งปวง เหลือแต่ดวงจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ สนามเต้นรำทำเพลงและเวทีของกิเลสไม่มีอีกแล้ว การทะเลาะบาดหมาง ลังเลสงสัย สับสนวุ่นวายในดีและชั่วจบลงแล้ว จิตว่างเปล่าจากกิเลสและการยึดติด เหลือแต่ธรรมธาตุรู้ล้วนๆ เพราะคำว่าทุกข์ ได้พ้นไปจากใจโดยสิ้นเชิง อัศจรรย์พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสามารถรู้เห็นได้ก่อน อัศจรรย์พระอริยสาวกผู้สามารถตามเสด็จพระพุทธเจ้าได้ อัศจรรย์ธรรมที่ตนเองรู้เห็นถึงความเป็นอัตตมโนภิกขุ คือ ภิกษุผู้มีใจเป็นของตน ไม่ต้องแสวงหาที่พึ่งอาศัยอะไรอีกต่อไป
เมื่อหลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านได้ประพฤติปฏิบัติสำเร็จถึงอุดมธรรมตามความประสงค์ของท่านแล้ว หลวงปู่ศรีท่านก็ได้ออกธุดงค์อีกครั้งพร้อมศิษย์ติดตามอีก ๒ รูป คือพระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ และ หลวงพ่อพุทธา มุ่งสู่ภูเก้า-ภูพานคำ ในระหว่างธุดงค์ผ่านบ้านดงบาก หลวงพ่อพุทธา ขอลากลับ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านจึงไปกับพระติดตามเพียงรูปเดียว คือพระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ ผ่านบ้านดงบาก แล้วเดินต่อไปยังบ้านวังมนต์ ตำบลโคกม่วง อำเภอโนนสังข์ จังหวัดหนองบัวลำภู ท่านและศิษย์ได้หยุดพักปฏิบัติที่ถ้ำจันใด และต่อไปยังถ้ำหามต่าง พักอยู่ที่ ภูเก้านี้เป็นเวลา ๒ เดือนกว่า
ย่างเข้าฤดูฝน ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้ลงจากภูเก้า มาอำเภอโนนสังข์ ผ่านอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ใช้เวลา ไม่กี่วันก็ทะลุถึงเทือกเขาภูเวียง เดินต่อไปยังวัดป่าภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เข้ากราบคารวะและพักอยู่กับ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต ศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต แนะนำว่า “ให้พวกท่านขึ้นไปถ้ำกวาง ถ้ำพระ ซึ่งเป็นสถานที่สงบสงัด สัปปายะ เพราะผมเคยไปอยู่วิเวกภาวนาจำพรรษามาแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ทุกอย่างดีหมด เสียอย่างเดียวที่ ผี ดุมาก”
ได้ฟังดังนั้น หลวงปู่ศรีท่านจึงเดินทางต่อไปยัง บ้านโนนสวรรค์ บ้านหินล่อง ขึ้นไปพักถ้ำพระ ถ้ำกวาง เชิงเขาภูเวียง หลวงปู่ศรีได้นำพาสานุศิษย์ปฏิบัติธรรมอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าแรมเดือน ได้เกิดนิมิตเห็นว่าแม่ยาย (แม่ใหญ่หล้า แสนยะมูล โยมอุปัฏฐากวัดป่ากุง เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมอายุ ๙๒ ปี) ของท่านป่วย ท่านจึงได้ออกเดินทางกลับวัดป่ากุงเมื่อเดินทางกลับมาถึงก็ได้ทราบว่าแม่ยายท่านป่วยหนัก จึงรีบไปเยี่ยมและเทศน์โปรด อีกต่อมาไม่นานนักแม่ยายขอ
ผู้เข้าชม
1349 ครั้ง
ราคา
650
สถานะ
เปิดให้บูชา
โดย
เจนพระเครือง
ชื่อร้าน
บารมีบุญพระเครื่อง
ร้านค้า
baramebun.99wat.com
โทรศัพท์
0910162844
ไอดีไลน์
rit3009
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-93615-9
พญาครุฑ รุ่นเลื่อนขั้น พลวงปู่
พระผงพ่อแม่หลวงปู่แก้ว ธัมรา
คุณยายชีนวล แสงทองพระผงพระเจ้า
ล-ป-ทอง อริญฺชโยเหรียญรุ่นแรกด
เหรียญท้าวเวสสุวรรณ เนื้อทองแด
พระผงมังกรคู่หลวงปู่สอ ขนฺติโก
ขุนแผนพรายแม่สายทองเทพธิดาแห่
พญาครุฑท้าวเวสสุวรรณ รุ่นคู่บา
ขุนแผนพรายกุมารรุ่นเพชรกลับหลว
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
ลงพระฟรี
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ลืมรหัสผ่าน
ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
หริด์ เก้าแสน
stp253
termboon
Netnapa
tumlawyer
มนต์เมืองจันท์
เปียโน
เอก พานิชพระเครื่อง
บ้านพระสมเด็จ
ชาวานิช
ไกร วรมัน
ชา วานิช
someman
hra7215
jocho
ว.ศิลป์สยาม
เจริญสุข
ภูมิ IR
Le29Amulet
เทพจิระ
โจ๊ก ป่าแดง
น้ำตาลแดง
hopperman
siracha
lord
tplas
ep8600
tintin
เพ็ญจันทร์
mon37
ผู้เข้าชมขณะนี้ 1439 คน
เพิ่มข้อมูล
ล.ป.ศรี มหาวีโรพระเจ้าบุญล้นพระพุทโธอัปปมาโณ อุดมสิริสุขโตทวีป หลวงปู่ศรีมหาวีโร วัดป่ากุง อธิษฐานจิตมวลสาร ปี 2555 เนื้ออัลปาก้า
ส่งข้อความ
ชื่อพระเครื่อง
ล.ป.ศรี มหาวีโรพระเจ้าบุญล้นพระพุทโธอัปปมาโณ อุดมสิริสุขโตทวีป หลวงปู่ศรีมหาวีโร วัดป่ากุง อธิษฐานจิตมวลสาร ปี 2555 เนื้ออัลปาก้า
รายละเอียด
พระพุทโธอัปปมาโณ <พระเจ้าบุญล้น> อุดมสิริสุขโตทวีป หลวงปู่ศรีมหาวีโร วัดป่ากุง อธิษฐานจิตมวลสาร ปี 2555 เนื้ออัลปาก้ารายละเอียดพระพุทโธอัปมาโณ อุดมสิริสุขโตทวีป หลวงปู่ศรีมหาวีโร วัดป่ากุง อธิษฐานจิต ผสมชานหมาก ผงคำข้าว ผงว่าน108 ลพ.ฤาษีฯ วัดท่าซุง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุข้าวบิณฑ์ อัฐิธาตุ หลวงปู่ดู่
ทุกองค์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุข้าวบิณฑ์
ปางยืนทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก
อธิษฐานจิต โดย หลวงปู่ศรี มหาวีโร
นอกจากนี้ มีชนวนมวลสารหลายชนิด เช่น เกศาหลวงตาพระมหาบัวญาณสัมปันโน
ผงจิตรลดา น้ำสรงพระแก้วมรกต ผงชันเพชรจากเครื่องทรงพระแก้วมรกต ผงหลวงปู่โต๊ะ ผงหลวงปู่แหวน
ผงหลวงปู่อุตตมะ ผงเจ้าคุณนรฯ ผงงาช้าง ผงกะลาตาเดียว ผงเหล็กน้ำพี้หลวงปู่หมูน ผงหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ ผงแก้วโป่งข่าม ผงพระธาตุเขาสามร้อยยอดผงมหากัน ญาท่านสวน ผงคำข้าวหลวงพ่อฤาษี
แป้งเสกหลวงปู่บุดดา ยาอนันตคุณหลวงปู่ศรี ผงว่า108หลวงพ่อฤาษี
เกศาที่ผสมทำพระ มีดังนี้ หลวงตามหาบัว ท่านพ่อลี หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงปู่บุญฤทธิ์ หลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบ หลวงปู่สิม หลวงปู่ท่อน ฯลฯ มากมายเกือบ100รูป
ชานหมาก ของพระอริยสงฆ์มากมาย ชานหมากหลวงปู่ขาน ฐานวโร หลวงปู่ทอง จันทสิริ หลวงปู่อว้าน เขมโก หลวงปู่อุ่นหล้า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ฯลฯ
อัฐิธาตุ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงปู่เพียร ฯลฯ
ประวัติย่อ
พระเทพวิสุทธิมงคล
(หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง)
อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
“เมื่อมีเหตุ ผลก็ต้องมี เหตุน้อย ผลน้อย
เหตุพอประมาณ ผลพอประมาณ เหตุมาก ผลมาก เหตุพิเศษ ผลก็พิเศษ ”
ชีวิตฆราวาส
พระเทพวิสุทธิมงคล หรือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเกิดในตระกูล “ปักกะสีนัง” เกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ณ บ้านขามป้อม ตำบลขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เป็นบุตรคนที่ ๖ ของ นายอ่อนสี และ นางทุมจ้อย ปักกะสีนัง มีพี่น้องรวมกัน ๑๑ คน อาชีพทำนา ทำสวน ทำไร่
การศึกษา จบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนสารคามพิทยาคม ปี พ.ศ. ๒๔๘๐
อาชีพ รับราชการครู สอบบรรจุครูได้ และเริ่มรับราชการครูในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จากนั้นได้ลาออกจากการรับราชการครูในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้สอบบรรจุครูอีกครั้งที่จังหวัดร้อยเอ็ด อยู่รับราชการครูจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ จึงได้ขอลาออกจากราชการอีกครั้งเพื่อบรรพชาอุปสมบท
ชีวิตครอบครัว แต่งงานในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ กับนางสาวสอน แสนยะมูล อายุ ๒๒ ปี เป็นบุตรสาวของนายสุธรรมา และนางหล้า แสนยะมูล มีบุตรธิดาสืบสกุล ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓คน
คำสั่งของมารดาก่อนตาย หลวงปู่เล่าว่าก่อนที่แม่จะตาย ได้สั่งเสียเป็นเชิงอ้อนวอนรำพึงรำพันว่า “ศรีเอ้ย!แม่อยากให้ลูกบวชให้ จัก ๑๐มื้อ(วัน) ๑๕ มื้อก็ได้ พอให้แม่ได้เพิ่ง(พึ่ง)บุญเพิ่งคุณ จะได้ไปดี ไปสวรรค์ นำเพิ่น(ผู้อื่น)” เมื่อจบคำสั่งเสียของแม่แล้ว น้ำตาร่วง หัวใจเหมือนจะหลุดหล่นหาย ซึ้งในน้ำใจของท่านที่รักเรายิ่งนัก จึงรับปากแม่ว่าจะบำบวชให้แม่อย่างแน่นอนว่า “ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงดอกเด้อ ข้อยสิบวชให้แน่นอน ขอให้แม่เฮ็ด(ทำ) ใจให้ซำบาย(สบาย) ” อีกไม่กี่วันต่อมาแม่ก็สิ้นใจตาย ...
บรรพชาอุปสมบท
อุปสมบทที่ “วัดราษฎร์รังสรรค์”บ้านป่ายาง ตำบลขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เวลา ๐๙.๐๐ น. ได้ฉายาว่า “มหาวีโร” แปลความหมายว่า “ผู้มีความหาญกล้ามาก” หรืออีกนัยหนึ่ง “ ผู้สามารถบุกเข้าไปทำลายกิเลสได้ ” โดยมีพระโพธิญาณมุณี (คำ โพธิญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์ , พระครูศิริธรรมธาดา เจ้าคณะอำเภอเมืองร้อยเอ็ด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ , พระครูสมุห์พันธ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สิริอายุ ๒๙ ปี
พรรษาที่ ๑ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๘
จำพรรษาที่ สำนักสงฆ์ป่าพูนไพบูลย์ (ปัจจุบันคือ วัดประชาบำรุง) อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็เดินทางไปหาท่านพระอาจารย์คูณธมฺมุตฺตโมซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่ได้ธุดงค์จาริกมาพักอยู่ที่วัดป่าพูนไพบูลย์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ตามคำสั่งของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เพื่อเผยแพร่หลักธรรมและหลักปฏิบัติของพระคณะกรรมฐาน ได้ปฏิบัติธรรมอยู่จำพรรษาร่วมกับท่านพระอาจารย์คูณ ธมฺมุตฺตโม และได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านพระอาจารย์คูณอบรมสั่งสอน เอาธุระในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด คือ คันถธุระ การศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ ให้มีความรู้พระธรรมวินัย ดำรงรักษาตำราไว้มิให้เสื่อมสูญวิปัสสนาธุระ ได้แก่การศึกษาอบรมจิตใจตามหลักสมถะและวิปัสสนา เพื่อรู้แจ้งธรรมและกำจัดกิเลสออกจากจิตใจ
ในพรรษาแรกนี้ หลวงปู่ศรีท่านก็สามารถจดจำ พระวินัยบัญญัติและสวดปาฏิโมกข์ได้ เร่งทำความเพียรและภาวนา อดนอนผ่อนอาหาร เวลานั่งสมาธิก็นั่งอยู่ตลอดจนรุ่งเช้า โดยหลวงปู่ท่านใช้อุบายสอนใจตัวเอง เพื่อสู้กับทุกขเวทนาว่า “เรานั่งอยู่ในท้องแม่ แม่อุ้มท้องอยู่เป็นเวลา ๙เดือน ๑๐ เดือนไม่เห็นหนีไปไหนได้ ทำไมจึงอดทนอยู่ได้”ผลสุดท้ายจิตเกิดแสงสว่าง ทุกขเวทนาที่ว่าเผ็ดร้อนได้หายไปหมด ทำให้ท่านเกิดศรัทธาอย่างมาก การบวชที่แต่เดิมคิดว่าจะบวชเพียงชั่วคราวได้หายไปสิ้น
พอบวชครบพรรษา ด้วยเหตุว่ายังอยู่ใกล้บ้านเกิด ญาติๆมาเยี่ยมเยือนได้ง่าย ถูกรบเร้าให้สึกไปครองชีวิตฆราวาสอยู่บ่อยๆ จึงกราบลาพระอาจารย์คูณ ธมฺมุตฺตโม เที่ยวธุดงค์ผ่านป่าผ่านเขาต่างๆ ไปหาท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าแสนสำราญ จังหวัดอุบลราชธานี
พรรษาที่ ๒ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๙
จำพรรษาที่ วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
ท่านพระอาจารย์สิงห์ขนฺตฺยาคโม ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก เป็นเสมือนองค์แทนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ข้อกติกาสัมมาปฏิบัติ อันเป็นข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำหรับพระคณะ กรรมฐาน ท่านพระอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง ของพระภิกษุสามเณรผู้มุ่งมาบำเพ็ญในสำนักพระคณะกรรมฐาน คือ
ต้องเป็นผู้หวังพ้นจากทุกข์จริงๆ และหวังบำเพ็ญกิจในพระพุทธ ศาสนา จึงต้องสละความห่วงอาลัยในชีวิตฆราวาส เหย้าเรือน ตลอดจนสละชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อทรมานตนให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร
ต้องเป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน มีขันติธรรม อดทนต่อ ความทุกข์ความยากความลำบากตรากตรำ ไม่หวั่นต่อเหตุการณ์ต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเป็นผู้เห็นแก่พระศาสนาจริงๆ
ต้องเป็นผู้มีน้ำใจอันซื่อสัตย์ ต่อพระศาสนาและครูบาอาจารย์ตลอดถึงหมู่คณะ อ่อนน้อมถ่อมตน ให้หมู่คณะว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนได้ในธรรมวินัย เมื่อมาอยู่ในหมู่คณะนี้แล้ว จะหลีกหนีไปก็ไม่ลอบลักดักหนี ให้ร่ำลาครูบาอาจารย์ของตนก่อน เมื่อท่านอนุญาตแล้วจึงไป
ต้องเป็นผู้สนใจใคร่ธรรม ใคร่วินัย แสวงหาวิโมกขธรรม สันติสุขในพระพุทธศาสนา และหวังเชิดชูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
ได้อยู่กับท่านพระอาจารย์เพียงสามเดือน เพราะท่านพระอาจารย์กลับไปอยู่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ต่อจากนั้นหลวงปู่ศรีท่านเลยไปวิเวกอยู่บ้านค้อหวาง ซึ่งเป็นวัดของท่านเจ้าคุณอุบาลี
พรรษาที่ ๓ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๐
จำพรรษาที่ วัดป่านาแกน้อย ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
พอรู้จักแนวทางในการประพฤติปฏิบัติกรรมฐานแล้ว องค์หลวงปู่จึงออกวิเวกเข้าป่าเข้าดงข้ามป่าข้ามเขา เพื่อบำเพ็ญกรรมฐานมุ่งหวังทดสอบขันติธรรมไม่เหยียบย่ำอยู่กับที่ ออกปฏิบัติเพียงลำพัง เหมือนพระอริยสาวกทั้งหลายที่พ้นทุกข์ รอนแรมซอกซอนผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาภูพาน วนเวียนอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จากนั้นออกเดินทางต่อไปยัง “ถ้ำพระเวส”อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ด้วยเห็นว่า “ถ้าเราจะไปเฝ้ากราบนมัสการและไปประพฤติปฏิบัติกับ ท่านพระอาจารย์มั่น เราต้องทดสอบตัวเราเองก่อนว่าจะได้อะไรหรือไม่ได้อะไร” ไปอยู่ได้เพียงเดือนเศษ เกิดล้มป่วยและอาการก็หนักปางตายด้วยไข้มาเลเรีย เมื่อมันขึ้นแต่ละที ฉันยาอะไรก็ไม่หาย จึงใช้สมาธิรักษาจึงได้ผล ไข้มันสู้สมาธิไม่ได้ แต่มันก็ไม่ถอย สู้กันอยู่กับไข้อย่างนั้นเป็นเวลา ๑ ปี ๑๑ เดือน
เมื่อฤดูกาลเข้าพรรษาใกล้เข้ามา จึงลงจากถ้ำไปจำพรรษาอยู่ที่ “วัดบ้านนาแกน้อย” อำเภอนาแก จัดหวัดนครพนม โดยมีพระอาจารย์จันทร์(วัดหนองห่าง)เป็นหัวหน้าคณะ จนกระทั่งออกพรรษา จึงได้จาริกไปในเขตจังหวัดต่างๆ เช่น สกลนคร อุดรธานี เพื่อเดินตามรอยทางแห่งธรรมของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
พรรษาที่ ๔ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๑
จำพรรษาที่ เสนาสนะป่าช้า(วัดโนนนิเวศน์) อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
( สถานที่แห่งนี้ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้มาพักจำพรรษาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๓-๒๔๘๔ ) เมื่อออกพรรษาแล้วจึงได้ออกเที่ยวธุดงค์ จนปลายปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ ก็ได้ธุดงค์มายัง “ผาน้ำย้อย”หลวงปู่ศรี ท่านบอกว่า “ถิ่นนี้เป็นดงเสือ ใต้ถ้ำผาน้ำย้อยมีแต่ขี้เสือเต็มไปหมด บ้านโคกกลางมีเพียง ๑๕-๑๖ หลังคาเรือนไม่มีถนนต้องเดินเท้า ป่าภูเขาอยู่ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดก็มีแค่นี้หละ อยู่ที่อื่นก็ใช้ไม่ได้ ไม่ค่อยมีน้ำ” ที่ผาน้ำย้อยแห่งนี้หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เกิดมีอุบายธรรมมากมาย
พรรษาที่ ๕ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๒
จำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เล่าประวัติของท่านว่า “เราได้ท่องเที่ยวไปวิเวกตามผา ตามป่า ตามเขาหลายลูกหลายหน่วย คงพอตัวแล้ว” ต้นปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ จึงตัดสินใจเดินทางจากภูเขาเขียว ดงมะอี่ จังหวัดร้อยเอ็ด ไปยังอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อเข้าไปกราบนมัสการฝากตัวเป็นศิษย์ใต้ร่มธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
เมื่อแรกเข้าไปถึงวัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม
ท่านพระอาจารย์มั่นได้ถามว่า “เคยได้ไปอยู่ตามภูเขา ตามถ้ำ ตามป่าคนเดียวหรือยัง?” กราบเรียนตอบท่านว่า “เคยไปบ้างอยู่ครับ”
“เคยไปเที่ยวกรรมฐานที่ไหนบ้างหล่ะ”ท่านถาม “เคยไปอยู่ภูนี้บ้างถ้ำนี้บ้าง ก็เคยไปอยู่บ้างแล้วครับ” กราบเรียนตอบท่าน
“เอ้อ! ก็พอมีสติอยู่บ้างเน๊าะ!”ท่านพระอาจารย์มั่นพูดเสียงเน้นๆ กังวาน นัยน์ตาน่าเกรงขามเป็นที่ยิ่ง
ส่วนทางเรา(หลวงปู่ศรี)นั้นแอบคิดในใจว่า “นี่ขนาดเราได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่างกล้าหาญ นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมตลอดคืนยันรุ่ง ไปอยู่คนเดียวเสือร้อง เฮ้ยๆ โฮกๆ อยู่ข้างๆ ก็ทำอยู่อย่างนั้นมาแล้ว จนสุดแรงเกิด แทบล้ม แทบตาย” แต่ท่านก็ยังว่า “พอมีสติอยู่บ้างเน๊าะ ถ้าอยู่คนเดียวได้จะต้องเป็นผู้มีสติดีนะ”
แล้วท่านก็ให้โอวาทซ้ำท้ายว่า “ผู้ที่จะมาศึกษาธรรมกับเรา จะเป็นพระหรือโยมก็ตาม ขอให้เก็บหอกเก็บดาบเอาไว้ที่บ้าน ไม่ต้องนำติดตัวมาด้วย”ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ศรี จึงตั้งความเพียรให้หนักหน่วงกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ และได้ตั้งสัจจะอธิฐานไว้ว่า “จะเร่งความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน”
วัตรปฏิบัติต่อพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ในปีที่หลวงปู่ศรี มหาวีโรได้ไปอยู่ คือการจับเส้นถวายทุกวัน ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเวลา ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม หรือตี ๑ ตี ๒ ถ้าท่านไม่บอกเลิกก็ไม่ต้องเลิก อยู่กับหมู่คณะมีหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต พระอาจารย์วัน อุตฺตโม ฯ และมีหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นพระผู้ดูแลหมู่คณะในครั้งนั้น
พระอาจารย์มั่นท่านให้ไปอยู่คนเดียวที่ “ถ้ำคำไฮ” เร่งความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน มีบ้านเพียง ๔ หลังพอได้บิณฑบาต ฉันแล้วล้างบาตรเสร็จแล้วก็เดินจงกรมจนหมดแสงตะวันถึงเลิก เป็นช่วงเดือน ๕ อากาศและแดดจะร้อนมาก กลางคืนก็มานั่งภาวนาทั้งคืนจนถึงเช้า หลวงปู่ศรีท่านเล่าให้ฟังว่า “เราไปอยู่คนเดียว ไปถ้ำคำไฮเดือนหนึ่ง แต่ว่าเป็นไข้นะ ฉันจังหันไม่ได้ ไปบิณฑบาตก็มองไม่เห็นทาง มันวิงเวียน แต่ว่าก็นอนบ้าง เวลานอนมันก็ไม่ยอมนอนนะ นอนอยู่ผู้เดียว นอนกลางวันก็ตาม กลางคืนก็ตาม ผีมันก็เอาหัวแม่มือมาจับหัวแม่ตีนนี่ล่ะ กำแน่นๆแล้วก็กระตุกเลย ต้องบอกผีว่า “เอ้า! ให้นอนสักหน่อยก่อนนะ ให้นอนสักหน่อยก่อน มันกำลังเมื่อย” พอนอนเท่านั้น มันก็มากระตุกอยู่อีกอย่างนั้น หนักเข้าก็ไปเดินจงกรมอีก แต่ไม่กลัวนะ ไม่มีอะไรนะ มีแต่ฟากไม้ไผ่กว้างๆขนาดห้องนี้หละ กลางวันมันก็มาดึง คิดในใจว่า “เอ๋! พวกเจ้าให้ข้าภาวนาดีแท้น้อ”
เดือน ๕ ท่านพระอาจารย์มั่นก็เริ่มป่วย จนกระทั่งเดือนอ้าย อาการของท่านพระอาจารย์มั่นก็หนักขึ้นเรื่อยๆ และวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. ท่านพระอาจารย์มั่นก็ดับขันธวิบากเข้าสูอนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร
พรรษาที่ ๖ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓
จำพรรษาที่ วัดป่าหนองผักตบ ตำบลปลาไหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร (ปัจจุบันวัดป่าโนนตูม)
หลวงปู่ศรีท่านธุดงค์ผ่านจากเทือกเขาภูพาน ออกเที่ยวปลีกวิเวกภาวนาไปทางอำเภอกุดบาก มุ่งหน้าไปทางอำเภอวาริชภูมิ บ้านหนองผักตบ ทราบข่าวว่าสถานที่แห่งนี้มีครูบาอาจารย์ศิษย์สายท่านพระอาจารย์มั่นมาเที่ยวจำพรรษา และผ่านมาพักจำพรรษาอยู่เสมอ จึงเข้าจำพรรษาที่หนองผักตบ มีพระจำพรรษา ๕ รูป ในพรรษานั้นหลวงปู่ศรีท่านป่วยด้วยโรคเหน็บชาอย่างรุนแรง เท้าทั้งสองข้างแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ใช้มือหยิกเนื้อขา เนื้อขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลย หาหยูกยาอะไรก็ไม่มี หลวงปู่ศรีจึงคิดได้ว่า “เอายาที่ไหนมารักษามันก็คงไม่หาย เอายาที่เราหาอยู่ทุกวัน นั้นก็คือธรรมโอสถ”จากนั้นจึงตั้งสัจจะนั่งสมาธิ จะนั่งสมาธิรักษา จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ตาม ถ้าโรคไม่หายจะไม่ออกจากสมาธิ ถึงแม้ตายก็ตาม ก็ขอตายในท่านั่งสมาธิ น้ำไม่ดื่ม ข้าวไม่ฉัน ตั้งใจพิจารณาสังขารเพียงอย่างเดียว ทำสมาธิอย่างเดียวเท่านั้น ปฏิบัติแบบสละตายไม่อาลัยชีวิต เวลาผ่านไป ๓ วัน ในคืนที่ ๓ โรคร้ายได้หายขาด จึงได้ออกจากสมาธิ
พรรษาที่ ๗ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔
จำพรรษาที่ เสนาสนะป่าห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม
ปลายปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ - ๒๔๙๔ ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ธุดงค์ท่องเที่ยวกรรมฐานไปทางบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และได้จำพรรษาอยู่ ๑ พรรษา ท่านพระอาจารย์มหาบัวเป็นที่พึ่งอันมั่นคงของพระเณร เหมือนอย่างที่ท่านพระอาจารย์มั่น สั่งไว้ก่อนปีที่ท่านจะนิพพานว่า “เมื่อเราตายให้หมู่เพื่อนพึ่งมหาบัว”
ข้อปฏิบัติที่ท่านถือเคร่งในยุคนั้น คือ ปฏิบัติอย่างหยาบๆ ห้ามนอนก่อน ๔ ทุ่ม ถ้าใครนอนก่อน ๔ ทุ่ม ต้องตื่นขึ้นมาทำความเพียรก่อนตี ๔ ถ้าผิดจากนี้ ได้ตักเตือนถึง ๓ ครั้ง ถ้าทำไม่ได้ท่านพระอาจารย์มหาบัวจะไล่หนีจากวัดทันที ท่านตีและเข่นพระเณรให้พากเพียรเป็นอย่างมาก วันคืนที่ผ่านไปล้วนแต่ประกอบจิตภาวนาในอิริยาบถทั้ง ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน ประกอบความเพียรด้วยสติปัญญาตลอด
บางปี พระเณรป่วยเป็นไข้มาเลเรียเกือบทั้งวัด คงเหลือแต่ท่านอาจารย์มหาบัวกับพระอีกไม่กี่รูป ท่านอาจารย์มหาบัวก็เป็นผู้ปัดกวาดลานวัดเอง ตักน้ำ ขัดถูศาลาเอง หลวงปู่ศรีท่านอยู่ที่ห้วยทรายก็ป่วยเป็นไข้มาเลเรียอย่างหนัก และแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ถึงกับผมร่วง เป็นเวลา ๒๒ เดือน หลวงปู่ศรีท่านจึงคิดว่า “ทำยังไงถึงจะหายไข้” จึงถามสามเณรว่า “เณรน้อย อะไรหนอ มันผิดไข้มาเลเรีย(เป็นของแสลงกัน)”สามเณรจึงตอบว่า“มะพร้าวครับ” เหมือนดั่งผีหรือเทวดาฟ้าดินกลั่นแกล้ง วันหนึ่งชาวบ้านได้นำมะพร้าวมาถวายพระที่วัด แบ่งกันได้องค์ละ ๒ ลูก หลวงปู่ศรีท่านคิดว่า “วันนี้ละจะได้รู้กัน เราเป็นไข้ป่ามันทรมานมานานวัน ถ้าฉันมะพร้าวแล้วจะผิดสำแดงเราจะฉันเพื่อให้ผิดสำแดง” มะพร้าวทั้ง ๒ ลูกนั้นหลวงปู่ศรีท่านฉันจนหมดเกลี้ยง พอฉันเข้าไปเท่านั้นแหละ ท่านก็หน้ามืดอย่างแรง ตัวสั่นเทิ้ม ชักกระตุกล้มลงทันที สลบไสลไปเป็นเวลา ๓ วันสามคืน หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร(ท่านเป็นหมอยาสมุนไพรเก่า) เห็นอาการหลวงปู่ศรีท่านน่าเป็นห่วง หลวงปู่มหาบุญมีท่านจึงเอาช้อนงัดปากให้อ้าขึ้น แล้วกรอกยาลงไป ไข้มาเลเรียไม่นานก็หายขาดอย่างเหลือเชื่อ
ต่อจากนั้นหลวงปู่ศรีท่านก็ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมทั้งวันทั้งคืน ท่านได้ตั้งสัจจะไว้ว่า “ถ้านกแซงแซวยังไม่ร้องก็จะไม่ลุกจากอาสนะ และไม่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ห้ามมิให้เปลี่ยนโดยเด็ดขาด นั่งอยู่ท่าใดก็ให้นั่งท่านั้น” หลวงปู่ศรีท่านปฏิบัติอย่างเข้มงวดอยู่ตลอด ๒๒ คืน คือจากตะวันตกดินจนรุ่งอรุณเป็นวันใหม่ ในด้านอุบายธรรมต่างๆ พระอาจารย์มาหาบัวท่านเป็นผู้แนะนำพร่ำสอน หลังจากออกพรรษา ออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า“ดงมะอี่” พร้อมพระอีก ๒ - ๓ รูป ผ่านเทือกเขาเตี้ยๆสลับซับซ้อนเป็นเขตแดนรอยต่อ ๓ จังหวัด ระหว่างจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า “เขาผาน้ำย้อย”อยู่เป็นเวลานานพอสมควรจึงแยกทางกัน ส่วนหลวงปู่ได้เดินทางไปกราบคารวะหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ด และได้อุปัฏฐากท่าน
พรรษาที่ ๘ ปีพุทธศักราช ๒๕๙๕
จำพรรษาที่ วัดป่าหนองแซง ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
ขณะที่หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับหลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้พำนักอยู่ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ดได้ระยะหนึ่ง ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล ) วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ปรารถนาจะสร้าง วัดกรรมฐาน ที่บ้านหนองแซง จังหวัดอุดรธานี จึงได้มานิมนต์หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับหลวงปู่ศรี มหาวีโร เมื่อท่านทั้งสองรับนิมนต์แล้ว จึงพาคณะธุดงค์จาริกจากวัดป่าศรีไพวัลย์ ผ่านดงมูล ผ่านมาทางท่าคันโฑ มุ่งสู่เมืองกุมภวาปี เข้าสู่ตัวจังหวัดอุดรธานี เข้ากราบนมัสการท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก่อนแล้วจึง เดินทางไปยังป่าบ้านหนองแซง เพื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดป่า หนองแซง สมัยนั้นจะเป็นกุฏิเล็กๆห้องเดียว มีพระเณรอยู่ประมาณ ๔-๕ รูป มีหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เป็นหัวหน้า หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงปู่พุทธา หลวงปู่แสง และสามเณรสมร ที่นี่เองหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณได้กล่าวทำนายไว้ว่า “ท่านศรีหนีจากร้อยเอ็ดบ่ได้ดอก ต้องอยู่ที่ร้อยเอ็ดจนตาย”
พรรษาที่ ๙ - ๑๑ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ - ๒๔๙๘
จำพรรษาที่วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุงเก่า) บ้านศรีสมเด็จ ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
ปฐมเหตุแห่งวัดป่ากุง... ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ หลวงปู่ศรีท่านได้เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ดไปอำเภอวาปีปทุมซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดมหาสารคาม เจตนาอย่างหนึ่งของหลวงปู่ศรีที่เดินธุดงค์มายังแผ่นดินเกิดก็เพื่อ เยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกับพระหลวงพ่ออ่อนศรี กิจฺจญาโณ ซึ่งเป็นบิดา เพื่อสนองคุณบิดาด้วยอรรถและธรรม ณ วัดป่าบ้านขามป้อม หลวงปู่ศรีท่านจึงปักกลดพักอยู่ที่วัดป่าขามป้อม กับพระหลวงพ่ออ่อนศรี กิจฺจญาโณ หลังจากนั้นจึงดำริเดินธุดงค์กลับร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม เพื่อกราบคารวะพระธาตุพนม
ในขณะที่ท่านเที่ยววิเวกผ่านมาทางบ้านหนองแดง จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ปักกลดพักในบริเวณป่า เมื่อชาวบ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงทราบข่าว จึงได้นิมนต์หลวงปู่ให้พักที่ป่ากุงร้าง อันเป็นที่วัดร้างเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๑๓ หลวงปู่รับนิมนต์และได้อยู่จำพรรษา จึงทำให้ไม่ได้ธุดงค์ต่อตามที่ได้ดำริไว้ พ่อใหญ่ชาลี มงคลสีลา คนบ้านป่ากุง ได้ถวายที่ดินเพิ่มให้แก่วัดจำนวน ๑๐๐ ไร่ จากเดิมมีเนื้อที่เพียง๔-๕ ไร่
ปลายปี ๒๔๙๘ ท่านได้ออกเที่ยวธุดงค์ไปที่ ภูมะค่า เขารางตะเข้ เขาจอมทอง อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เมื่อท่านเดินทางไปถึงเขาจอมทอง ชาวบ้านต่างเตือนว่าไม่อยากให้ท่านขึ้นไปอยู่ถ้ำบนเขา เพราะว่ามีพระขึ้นไปตายมาหลายรูปแล้ว ถึงไม่ตายก็ไม่วายเป็นบ้าลงมา หลวงปู่ศรีท่านเล่าว่า ที่เขาจอมทองนี้เคยมีพระอรหันต์มามรณะภาพอยู่ถึง ๔ องค์ สถานที่แห่งนี้ใครได้มาอยู่มาปฏิบัติ ถ้าตั้งใจดีมีโอกาสที่จะเห็นธรรม ในถ้ำนั้นมีเจ้าที่เป็นงูใหญ่ ทุกๆ ๓ ปีงูตัวนี้จะออกจากถ้ำทีหนึ่งเพื่อมาเล่นน้ำ เวลาเล่นน้ำมันจะเอาหางพันต้นไม้แล้วเอาหัวหย่อนลงในน้ำ หลังจากท่านพักอยู่ที่เขาจอมทองเป็นเวลาพอสมควร ท่านจึงเดินธุดงค์กลับวัดป่ากุง
พรรษาที่ ๑๒ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๙
จำพรรษาที่ วัดป่ามหาวีระอุทการาม(วัดหนองใต้) ตำบลขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
เมื่อต้องเดินทางไปยังอำเภอวาปีปทุม จัดหวัดมหาสารคาม เพื่อสนองคุณบิดาด้วยอรรถและธรรม ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเดินทางอยู่บ้าง อีกทั้งท่านเองก็ต้องการหลีกจากผู้คนที่ศรัทธา ที่มาจากจังหวัดร้อยเอ็ด ที่นานวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที ไม่เป็นการสะดวกในการปฏิบัติภาวนา ท่านทราบว่าที่บ้านหนองใต้มีป่าพอเป็นที่อาศัยปฏิบัติสมณะธรรม จึงได้ไปยังป่าที่บ้านหนองใต้ อาศัยปฏิบัติสมณะธรรมและได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าหนองใต้ ๑ พรรษา คณะศรัทธาและหลวงปู่ได้ตั้งวัดขึ้นครั้งแรกในที่ แห่งนี้ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่
พรรษาที่ ๑๓ - ๑๗ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ - ๒๕๐๔
จำพรรษาที่ วัดสามัคคีธรรม บ้านขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ออกเที่ยวธุดงค์กรรมฐานจากจังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม เข้ากราบพระธาตุพนม แล้วออกเที่ยววิเวกผ่านมาพักอยู่ที่บ้านนาโดน กำนันพรหมา รังษี ชาวบ้านขามเฒ่าได้ทราบข่าวของหลวงปู่ศรี มหาวีโร จึงได้รีบมานิมนต์หลวงปู่ศรีมาโปรดชาวบ้านขามเฒ่า พร้อมทั้งกำนันพรหมา รังษี ได้มอบเสนาสนะป่าอยู่ติดกับป่าช้า เนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ ซึ่งกำนันพรหมาได้จับจองไว้สร้างเป็นวัด และปวารณาเป็นอุบาสกอุปัฏฐากหลวงปู่ศรี มหาวีโร ตลอดชีวิต แม้ตายสมบัติทั้งหมดก็ยกถวายให้หลวงปู่ศรีทั้งหมด ในที่นี้หลวงปู่ศรีได้สร้างศาลาใหญ่ให้เป็นศาลาปฏิบัติธรรม และบอกชาวบ้านช่วยกันปลูกขยายป่าเพิ่มเติม
ในฤดูแล้งปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จากเสนาสนะป่าช้าบ้านขามเฒ่า จังหวัดนครพนม มายังวัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด มีหลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นหัวหน้า พระอาจารย์อินทร์ พระอาจารย์เสาร์ สามเณรอุดร ประจักโกศรี และผ้าขาวกอง เป็นคณะติดตาม ออกเดินทางมาบ้านคำพอก ผ่านไปทางอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร เดินผ่านทางบ้านด่านสาวดอย เข้าวัดบ้านน้ำกล่ำธาตุพนม ผ่านไปยังภูเขาหลังภูพาน มาจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้ามป่าข้ามเขามาถึงเขื่อนลำปาว เข้าพักบ้านผักกาดหย่า จังหวัดกาฬสินธุ์ จากนั้นก็ไปบ้านนาขาม ดงแม่เผด เข้าเขตอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ธุดงค์ผ่านบ้านคำผอุง ออกไปอำเภอกมลาไสย มาข้ามแม่น้ำชีที่กมลาไสย ไปเมยวดี แล้วถึงมาวัดป่ากุง
พรรษาที่ ๑๘ - ๑๙ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ - ๒๕๐๖
จำพรรษาที่ วัดป่าศรีสมพร(หัวดง) บ้านน้อยหนองเค็ม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
เมื่อออกพรรษาปี ๒๕๐๖ ที่วัดป่าศรีสมพร(หัวดง)แล้ว หลวงปู่ศรีท่านได้ดำริว่า “เราปรารถนาจะปลีกวิเวกตามสมณวิสัย เพื่อห่างไกลผู้คนและญาติโยม เนื่องจากได้สร้างวัดวาอารามหลายที่หลายแห่ง เป็นภาระหนักอยู่ไม่สร่าง จนกระทั่งจิตเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ใจที่เคยมีความสุขอันเลิศเลอ เคยกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยธรรมอันเบ่งบานข้างใน มาบัดนี้ได้เกิดความเสื่อมถอย คุณภาพจิตได้รับความทุกข์อยู่เต็มหัวใจเหมือนคนมีสมบัติเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วสมบัตินั้นก็พลันมาฉิบหายมลายไปต่อหน้าต่อตา กลายเป็นยากจกทุคตะเข็ญใจในทันใด บุคคลนั้นจะตั้งตัวรับและยืนหยัดได้อย่างไร ยิ่งธรรมสมบัติคือ สมาธิที่เคยได้ลิ้มรสอันเลิศค่าด้วยแล้ว มาบัดนี้เสื่อมถอยไปต่อหน้าต่อตา เสื่อมเพราะความไม่ถนอมรักษา ตายใจว่านี้เป็นธรรมสมบัติอันจีรังมั่นคง จะสร้างความสุขให้เราได้ตลอดอนันตกาล แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะจิตในขั้นนี้ ยังมิใช่วิมุตติจิต ถึงแม้ว่าจะเร่งปฏิบัติสมาธิภาวนาสักเท่าใดเพื่อให้สมาธิธรรมนั้นกลับคืนมา ก็หาได้อย่างเดิมไม่ จิตเคยคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนพญาเสือโคร่งตัวฉลาด ที่ล่าเหยื่อคือกิเลสได้ทันท่วงที มาบัดนี้เหมือนแมวเชื่องตัวน้อยๆ” จึงออกเดินธุดงค์ออกจากนครพนมมุ่งหน้าไปยังอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร พักที่ถ้ำตางด ถ้ำพระ ถ้ำพระเวส เดินทางต่อจากอำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร จนถึงวัดป่าหนองแซง หนองวัวซอ อุดรธานี สถานที่อยู่ของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เพื่อให้หลวงปู่บัวท่านแก้จิตเสื่อมให้ หลวงปู่บัวเป็นพระที่หลวงปู่ศรีท่านให้ความเคารพยิ่ง
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณท่านให้อุบายธรรมต่างๆ หลวงปู่ศรีท่านจึงนำไปปฏิบัติแบบไม่ไยดีในชีวิต ทุ่มเทกำลังสติปัญญาที่มีทั้งหมด ใช้ความเพียรกล้าที่สุด ตอนท้ายหลวงปู่บัวได้ให้อุบายธรรมแก่หลวงปู่ศรี ให้ท่าน นั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด ถ้าจะเดินจงกรม ก็เดินเพื่อพักผ่อนอิริยาบถก็เพียงพอ เมื่อรับฟังโอวาทจากหลวงปู่บัวแล้ว หลวงปู่ศรีท่านจึงตั้งสัจจะว่า “ถ้าจิตยังไม่บรรลุธรรมที่พึงประสงค์จะไม่ยอมลุกไปจากที่ เราจะยอมตายถวายชีวิตด้วยสัจจะบารมี”
หลวงปู่ศรีท่านปฏิบัติคล้ายที่เคยทำมา แต่หนักหน่วงกว่าเดิม โดยนั่งสมาธิอยู่ ๕ วัน ๖ คืน ครบ ๑๒ ชั่วโมงจึงเปลี่ยนอิริยาบถครั้งหนึ่ง คือขยับยกขาขึ้นแล้วเอาลงเท่านั้น มีกาเล็กๆใส่น้ำเอาไว้จิบพอชุ่มคอ เรื่องกลางวันกลางคืน เรื่องหลับนอนไม่ได้สนใจ อาศัยขันติคือความอดทน นั่งพิจารณาคลี่คลายสังขารส่วนต่างๆ จะตายก็ยอมตาย ไม่เสียดายอาลัยในชีวิตซึ่งเป็นสิ่งสมมุติ ในที่สุดมายุติตรงที่ว่าอวิชชาดับ เกิดญาณหยั่งทราบแน่ชัด จิตหมดการก่อกำเนิดในภพต่างๆอย่างประจักษ์ใจ โลกธาตุหวั่นไหว ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ต่างอันต่างเป็นอิสระ อินทรีย์ ๕ อายตนะ ๖ ทำงานตามหน้าที่ของตน ไม่กระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์เหมือนดังแต่ก่อน ดับทุกข์ที่เผาลนจิตใจมาช้านานโดยประการทั้งปวง เหลือแต่ดวงจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ สนามเต้นรำทำเพลงและเวทีของกิเลสไม่มีอีกแล้ว การทะเลาะบาดหมาง ลังเลสงสัย สับสนวุ่นวายในดีและชั่วจบลงแล้ว จิตว่างเปล่าจากกิเลสและการยึดติด เหลือแต่ธรรมธาตุรู้ล้วนๆ เพราะคำว่าทุกข์ ได้พ้นไปจากใจโดยสิ้นเชิง อัศจรรย์พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสามารถรู้เห็นได้ก่อน อัศจรรย์พระอริยสาวกผู้สามารถตามเสด็จพระพุทธเจ้าได้ อัศจรรย์ธรรมที่ตนเองรู้เห็นถึงความเป็นอัตตมโนภิกขุ คือ ภิกษุผู้มีใจเป็นของตน ไม่ต้องแสวงหาที่พึ่งอาศัยอะไรอีกต่อไป
เมื่อหลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านได้ประพฤติปฏิบัติสำเร็จถึงอุดมธรรมตามความประสงค์ของท่านแล้ว หลวงปู่ศรีท่านก็ได้ออกธุดงค์อีกครั้งพร้อมศิษย์ติดตามอีก ๒ รูป คือพระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ และ หลวงพ่อพุทธา มุ่งสู่ภูเก้า-ภูพานคำ ในระหว่างธุดงค์ผ่านบ้านดงบาก หลวงพ่อพุทธา ขอลากลับ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านจึงไปกับพระติดตามเพียงรูปเดียว คือพระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ ผ่านบ้านดงบาก แล้วเดินต่อไปยังบ้านวังมนต์ ตำบลโคกม่วง อำเภอโนนสังข์ จังหวัดหนองบัวลำภู ท่านและศิษย์ได้หยุดพักปฏิบัติที่ถ้ำจันใด และต่อไปยังถ้ำหามต่าง พักอยู่ที่ ภูเก้านี้เป็นเวลา ๒ เดือนกว่า
ย่างเข้าฤดูฝน ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้ลงจากภูเก้า มาอำเภอโนนสังข์ ผ่านอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ใช้เวลา ไม่กี่วันก็ทะลุถึงเทือกเขาภูเวียง เดินต่อไปยังวัดป่าภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เข้ากราบคารวะและพักอยู่กับ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต ศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต แนะนำว่า “ให้พวกท่านขึ้นไปถ้ำกวาง ถ้ำพระ ซึ่งเป็นสถานที่สงบสงัด สัปปายะ เพราะผมเคยไปอยู่วิเวกภาวนาจำพรรษามาแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ทุกอย่างดีหมด เสียอย่างเดียวที่ ผี ดุมาก”
ได้ฟังดังนั้น หลวงปู่ศรีท่านจึงเดินทางต่อไปยัง บ้านโนนสวรรค์ บ้านหินล่อง ขึ้นไปพักถ้ำพระ ถ้ำกวาง เชิงเขาภูเวียง หลวงปู่ศรีได้นำพาสานุศิษย์ปฏิบัติธรรมอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าแรมเดือน ได้เกิดนิมิตเห็นว่าแม่ยาย (แม่ใหญ่หล้า แสนยะมูล โยมอุปัฏฐากวัดป่ากุง เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมอายุ ๙๒ ปี) ของท่านป่วย ท่านจึงได้ออกเดินทางกลับวัดป่ากุงเมื่อเดินทางกลับมาถึงก็ได้ทราบว่าแม่ยายท่านป่วยหนัก จึงรีบไปเยี่ยมและเทศน์โปรด อีกต่อมาไม่นานนักแม่ยายขอ
ราคาปัจจุบัน
650
จำนวนผู้เข้าชม
1355 ครั้ง
สถานะ
เปิดให้บูชา
โดย
เจนพระเครือง
ชื่อร้าน
บารมีบุญพระเครื่อง
URL
http://www.baramebun.99wat.com
เบอร์โทรศัพท์
0910162844
ID LINE
rit3009
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-93615-9
กำลังโหลดข้อมูล
หน้าแรกลงพระฟรี